หลบฝนมาต่อยกับพี่ไหม? 3 ท่า Boxing กับเทรนเนอร์ ” อะตอม “

หลบฝนมาต่อยกับพี่ไหม? 3 ท่า Boxing กับเทรนเนอร์ ” อะตอม “   • ทำความรู้จักกับ เทรนเนอร์ “อะตอม” สวัสดีครับ ผม ศุภกฤต พัฒนโชติ ชื่อเล่น อะตอม สาขา เอสพลานาด แคราย ครับ   • มวยเป็นกีฬาที่เบิร์นได้ส่วนไหนบ้าง   มวยเป็นกีฬาที่เรียกได้ว่า เป็นการ เผาผลาญ แคลอรี่ได้อย่างน่าสนใจ เฉลี่ยสูงสุด 400-800 calories และยังเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นและ กระชับสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน ต้นขา และยังมีส่วนในการฝึกสมาธิได้อีกด้วย   • 3 ท่าที่ PT อยากชวนมาเบิร์นมีท่าไหนบ้าง ท่าเเรก เตะกระสอบ ขวา / ซ้าย ประมาณ 10 ครั้ง ต่อเนื่องโดย […]

มาต่อยกันไหม!?! 4 ประโยชน์เริ่ดๆจากการชกมวย

มาต่อยกันไหม!?! 4 ประโยชน์เริ่ดๆจากการชกมวย   1. ชกมวยได้ออกกำลังทุกส่วนของร่างกาย   เป้าหมายของการต่อยมวยคือให้ทุกส่วนของร่างกายได้ใช้งาน นอกเหนือไปจากการกระตุ้นความแข็งแรงของร่างกายและระบบไหลเวียนโลหิตแล้ว การชกมวยยังช่วยเพิ่มการฝึกทักษะที่เกี่ยวข้องอย่าง การทรงตัว การทำงานประสานกันของอวัยวะ ปฏิกิริยาตอบโต้และความคล่องตัว และยังสามารถเบิร์นไขมันได้ถึง 13 แคลลอรี่ใน 1 นาที การออกกำลังกายด้วยการชกมวยทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้ตั้งแต่ 200-400 แคลอรี่ในเวลาครึ่งชั่วโมง, ขึ้นสังเวียนชกมวย 30 นาทีเบิร์นได้ 400 แคลลอรี่, ชกกระสอบทราย 30 นาที เบิร์นได้ 200 แคลลอรี่, ชกกับคู่ซ้อม 30 นาทีเผาผลาญได้ 300 แคลลอรี่   2. ชกมวยเผาผลาญพลังงานได้เร็วกว่า   การชกมวยอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการออกกำลังกายแบบ High-intensity Interval Training (การออกกำลังกายแบบความเข้มข้นสูง) เพราะการขึ้นชกใน 1 ยกคือการใช้ร่างกายไปถึงระดับสูงสุด และการพักระหว่างยกคือการทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากความอ่อนล้าได้เร็วขึ้น เป็นทั้งการออกกำลังกายแบบที่ผสมผสานเผาผลาญพลังงานการใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนเข้าด้วยกัน การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยให้สร้างความแข็งแรง ความรวดเร็ว มีพลังมากขึ้น และกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย เมื่อนำมาเทียบกับการวิ่งหรือปั่นจักรยานจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่า แต่ใช้เวลาน้อยลง […]

รู้หรือไม่ ? ทำไมออกกำลังกายต้องมีวันพัก !

รู้หรือไม่ ? ทำไมออกกำลังกายต้องมีวันพัก !   การออกกำลังการเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่เราหักโหมนั้นไม่ว่าจะมีเป้าหมายในการลดน้ำหนัก สร้างกล้ามเนื้อ กระชับสัดส่วนหรืออะไรก็ตาม ถ้าทำมากเกินไปเป้าหมายต่างๆ เหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และยังส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจด้วย เราไปดูกันเลยว่า ทำไมการออกกำลังกายต้องมีวันพัก       พักเพื่ออะไร?   สำหรับคนที่ออกกำลังกายใหม่ การออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 วัน ต้องมีวันพักฟื้นให้ร่างกายบ้าง และคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหรือนักกีฬา จะต้องพักอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสได้ฟื้นตัว การพักเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพราะการออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อเราบอบช้ำไปบ้าง พอร่างกายได้ฟื้นตัว จะทำให้การออกกำลังกายในครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย   หากออกกำลังกายแบบไม่มีวันพักเลย จึงเป็นผลเสียกับการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเพื่อเป้าหมายใดก็ตาม การพักเพื่อให้กล้ามเนื้อที่ทำงานอย่างหนักหรืออาจฉีกขาดได้รักษาตัว หากไม่มีการพักเลย ก็จะส่งผลให้กล้ามเนื้อรวมถึงระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากกล้ามเนื้อเกิดความล้าได้ ซึ่งส่งผลต่อการบาดเจ็บได้มากขึ้น หรือที่เรียกกันว่าอาการ (Overtraining) นั่นเอง   ดังนั้น หากเราตั้งใจที่จะออกกำลังกาย ไม่ว่าเป้าหมายใดก็ตาม ก็ควรจะมีวันพักให้ร่างกายด้วย เพื่อให้การออกกำลังกายนั้นส่งผลดีต่อร่างกายคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบการทำงานต่างๆ ก็จะทำงานได้ดีไปด้วย พักบ้างไรบ้างนะ […]

โบกมือลาออฟฟิศซินโดรม ด้วย 4 กิจกรรมง่ายๆ ทำได้ในทุกออฟฟิศ!

โบกมือลาออฟฟิศซินโดรม ด้วย 4 กิจกรรมง่ายๆ ทำได้ในทุกออฟฟิศ!   1. เมื่อยนักต้องพักหน่อย   การนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ ทำให้เมื่อยล้าสะสม จนอาจลุกลามเป็นปวดเรื้อรัง เป็นหนึ่งในสาเหตุของออฟฟิศซินโดรม ดังนั้น ควรพักสายตา โดยทุก 1-2 ชม. ควรละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์สัก 5-10 นาที หรือระหว่างทำงานให้หลับตาหรือกระพริบตาถี่ๆ เพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง หมั่นยืดกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ โดยการบริหารกล้ามเนื้อคอ หัวไหล่ แกว่งแขน นอกจากนี้ การจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ หยิบของได้สะดวก และการปรับหน้าจอคอมฯ ให้อยู่ในระดับสายตาก็ช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้   2. ชวนกันเดิน เพลินๆ แถมได้งาน ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ   สม่ำเสมอ เช่น การลุกขึ้นเดินไปกดน้ำดื่ม ถ่ายเอกสาร หรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแทนการใช้โทรศัพท์ จะช่วยยืดกล้ามเนื้อและผ่อนคลายความตึงเครียดได้ รวมทั้งการเลือกใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์อย่างน้อยวันละ 1 ชั้น ก็เป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อในระหว่างวันทำงาน และยังได้ผ่อนคลายสมองอีกด้วย    3. วันหยุดอย่านอนอุดอู้อยู่บ้าน   สำหรับคนที่ได้ทำงานอยู่ในองค์กรที่มีกิจกรรมให้พนักงานเข้าร่วม […]

วิธีลดน้ำหนักแบบ Carb Cycling Diet คืออะไร?

วิธีลดน้ำหนักแบบ Carb Cycling Diet คืออะไร?   Carb Cycling Diet คือการกินแป้งแบบน้อยสลับมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานและลดการทำลายกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนัก แบบไม่เคร่งเครียดค่ะ เพราะวิธีการนี้ไม่เคร่งครัดเกินไป         ซึ่งวิธีการทำ Carb Cycling Diet ไม่มีการกำหนดหลักการชัดเจนว่าจะต้องกินแป้งมาก-น้อยกี่วัน การกำหนดจำนวนแป้งในการกินนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ แต่การกินแป้งยังควรกินอย่างสม่ำเสมอทุกวันไม่ควรอดเด็ดขาด   ซึ่งในวันที่กินแป้งมากเรียกว่า High Carb วันที่กินแป้งน้อยจะเรียกว่า Low Carb และวันที่กินแป้งแบบปกติเรียกว่า Mid Carb โดยวิธีการกินแป้งแบบ Carb Cycling Diet นี้ไม่เกี่ยวกับปริมาณการกินไขมันและโปรตีนนะคะ ถือเป็นคนละส่วนกัน เพราะเรายังคงกินไขมันและโปรตีนในปริมาณเท่าเดิมในทุกๆ วันค่ะ    ตัวอย่างในการกำหนดการกินแป้งแบบ Carb Cycling Diet   • วันที่ 1 Low carb  กินแป้งเชิงซ้อนในตอนเช้าและกินแป้งในช่วงก่อนและหลังออกกำลังกาย โดยพยามแบ่งให้ปริมาณการกินแป้งในแต่ละมื้อเท่าๆ กัน  • วันที่ […]

ดื่มน้ำเย็น ช่วยเบิร์นไขมันจริงหรือไม่?

  ดื่มน้ำเย็น ช่วยเบิร์นไขมันจริงหรือไม่?   แม้แต่นางฟ้าวิกตอเรีย ซีเคร็ต อย่างลินด์ซีย์ เอลลิงสัน (Lindsay Ellingson) จะเผยเคล็ดลับว่าเธอดื่มน้ำอุ่นทุกเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทแนะนำเธอมาว่าการดื่มน้ำอุ่นช่วยให้ดูดซึมได้ดีกว่า ทั้งยังดีต่อกระเพาะอาหาร แต่ในขณะเดียวกันก็มีกระแสสุขภาพสวนทางมาว่า การดื่มน้ำเย็นกลับช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าอย่างที่ไม่คาดคิด!   เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอย่างแคซี่ แวนเดอร์วอลล์ (Cassie Vanderwall) จาก UW Health เมืองแมดิสัน รัฐวิสคอนซิน กล่าวว่าทุกครั้งที่เราบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีอุณหภูมิต่างจากอุณหภูมิเฉลี่ยในร่างกายซึ่งอยู่ที่ 34 องศาเซลเซียส ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น แต่น้ำเย็นไม่ได้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นอย่างแน่นอน     • ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้จริง?   ถึงจะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้จริง แต่ก็อยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ประมาณ 8 แคลอรีต่อการดื่ม 1 แก้ว ดังนั้นต่อให้คุณดื่มวันละ 8 แก้วก็เบิร์นไปเพียง 64 แคลอรีเท่านั้น ในขณะที่น้ำอุ่นอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยบางโรค (แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการดื่มน้ำอุ่นช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น) แต่หัวใจมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่การดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำ ไม่ว่าจะร้อน อุ่น หรือเย็น ล้วนเป็นการปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ   • […]

ปริมาณของ “เหงื่อ” บอกความแข็งแรงของสุขภาพเราได้

ปริมาณของ “เหงื่อ” บอกความแข็งแรงของสุขภาพเราได้   ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ คนไทยและชาวต่างชาติที่เดินกันอยู่ริมถนนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่างกายท่วมเหงื่อกันไปตั้งแต่หัวจรดเท้า บางวันแค่อาบน้ำเสร็จไม่กี่นาทีก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองก็ชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง หรือแม้กระทั่งเดินออกไปทานข้าวนอกบ้านแปบเดียว เสื้อก็เปียกชุ่มราวกับเล่นน้ำสงกรานต์มา อย่างไรก็ตาม เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมบางคนถึงมีเหงื่อน้อย-มากกว่าคนอื่น แล้วแบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ   ทำไมเราต้องมีเหงื่อ?   แม้ว่าเหงื่อจะทำให้เรามีบุคลิกที่ไม่ดี แต่เหงื่อก็มีประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของการเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการขับความร้อนของร่างกายออกมาทางผิวหนัง ผ่านเหงื่อเม็ดเล็กๆ เหล่านี้ที่ช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายเราให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากคนที่มีอาการไข้สูง   หากผู้ป่วยสามารถระบายความร้อนออกมาทางผิวหนังผ่านเหงื่อได้ จะพบว่าอาการไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงนักกีฬาที่ใช้พลังงานมากๆ ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยความร้อน การมีเหงื่อออกมาตามร่างกายส่วนต่าง ก็เป็นการช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ ไม่ให้ร่างกายร้อนจัดจนเป็นอันตรายได้     • ทำไมคนเราถึงมีเหงื่ออกมาก-น้อยไม่เท่ากัน   เรื่องของปริมาณเหงื่อ อาจจะขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงส่วนเล็ก จริงๆ แล้วมาจากสุขภาพของแต่ละคนมากกว่า อาจจะเห็นได้ว่าคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ จะมีเหงื่ออกง่ายกว่าคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เพราะร่างกายสามารถปรับอุณหภูมิของร่างกายโดยการขับเหงื่อออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งก็ช่วยให้ร่างกายไม่ร้อนจัดจนเกินไป และมีแรงออกกำลังกายต่อไปได้อีก   ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แล้วยังไม่สามารถขับเหงื่อออกมาได้ทันท่วงที หรือขับเหงื่อออกมาได้มากเพียงพอ อาจจะเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และอาจมีความเสี่ยงหน้ามืด เป็นลม จากความร้อนภายในร่างกายที่ไม่ได้รับการขับออกมาผ่านเหงื่อตามรูขุมขน   • เหงื่อออกมากเกินไป   […]

” Work-Life Balance ” สำหรับชีวิต สร้างสุขภาพเเบบยั่งยืน

” Work-Life Balance ”  สำหรับชีวิต สร้างสุขภาพเเบบยั่งยืน   ทุกวันนี้การสร้างสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิตของเรานั้น แทบจะเป็นไปได้ไม่ได้เลยทีเดียว ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวเรานั้น ทำให้เราทำงานได้ตลอดเวลาเลยล่ะ จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นตรงกันว่า ความเครียดที่เกิดจากความไม่จบไม่สิ้นของการทำงานนั้นทำให้เกิดผลเสียได้ ไม่ว่าจะในเรื่องของความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สุขภาพ และความสุขโดยรวม เพราะฉะนั้นการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง   1. ปล่อยวางจากความสมบูรณ์แบบ   ชีวิตในวัยเด็กนั้นเราอาจถูกคาดคั้น ถูกจำกัดด้วยการเรียน เช่น เวลาเข้าเรียน เวลานอน เวลาทำงานอดิเรก หรือแม้แต่เด็กบางคนยังต้องทำงานหลังเลิกเรียนอีก กลายเป็นว่าเราต้องแบ่งสรรเวลาให้สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยความเป็นเด็ก ความรับผิดชอบก็ยังไม่สูงมาก ทำให้ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุม พอโตขึ้นชีวิตเราก็ซับซ้อนมากขึ้น ไหนจะความรับผิดชอบที่มากขึ้น ไหนจะการงานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมเวลาให้ได้อย่างสมบูรณ์ และถ้าการทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบนั้นติดเป็นนิสัยแล้ว มันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากทำร้ายตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจคือการลองถอยออกมาจากความสมบูรณ์แบบนั้นซะ แล้วปล่อยวางบ้าง เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกครับ   2. ถอดปลั๊กออกบ้าง   จริงอยู่ที่เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้เราใช้ชีวิตและทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ว่ามันก็ทำให้เราติดอยู่กับงานได้ตลอดเวลา วันหยุดก็เหมือนจะไม่ใช่วันหยุดซะทีเดียว แถมการแจ้งเตือนบนมือถือตัวดีจะคอยขัดเวลาพักผ่อนของเราอีกทั้งยังจะนำความเครียดมาให้อีก จนเดี๋ยวนี้มีคำพูดที่ว่า “ปิดมือถือซะ และสนุกกับช่วงเวลานี้กัน” ดังนั้น ลองออกห่างจากเทคโนโลยีที่จะทำให้เราติดอยู่กับงานในเวลาพักผ่อนบ้าง […]

ฝึกโยคะบ่อยแค่ไหน ถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง?

ฝึกโยคะบ่อยแค่ไหน ถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง?   1 ครั้ง/ สัปดาห์   หากต้องการความผ่อนคลาย แต่ไม่ได้เน้นความแข็งแรงมากสักเท่าไร เพิ่มความแข็งแรงขั้นพื้นฐานทั่วไปให้กับร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนเลือด เพิ่มความผ่อนคลาย จิตใจแจ่มใสขึ้น     2 ครั้ง/ สัปดาห์   หากว่าเพื่อน ๆ อยากมีสุขภาพที่แข็งแรงแบบยั่งยืนแล้วละก็ ขอแนะนำให้ฝึกโยคะสัปดาห์ละ 2-4 ครั้งในช่วงแรกเริ่ม แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3-6 ครั้งต่อสัปดาห์ค่ะ เมื่อคุณฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอแล้วก็จะเห็นผลได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านจิตใจที่จะแจ่มใสสดชื่นขึ้น ท่วงท่าการเดินนั่งก็ดูดีมากขึ้น ระดับความเครียดที่ลดลง รวมถึงระบบการหายใจ พลังงาน และการเผาผลาญที่ทำงานได้ดีมากขึ้น และฮอโมนในร่างกายก็จะสมดุลมากขึ้นด้วยค่ะ   นอกจากนี้แล้วโยคะยังเป็นกิจกรรมที่เหมาะจะฝึกยาว ๆ ฝึกได้ตลอดไม่ว่าคุณจะอายุเพิ่มมากขึ้นเท่าไร เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่รุนแรง มีรูปแบบที่หลากหลายให้เลือก จึงเหมาะจะฝึกในทุก ๆ วัน   รู้มั้ยคะว่าถ้าคุณไม่ฟิตเลยจะเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว   ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย แล้วเริ่มมาฝึกโยคะ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างชัดเจนและรวดเร็วเลยละ แต่หากว่าเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้วและค่อนข้างจะแข็งแรง ความเปลี่ยนแปลงแรก […]

“ใยอาหาร” กินเท่าไรถึงดีต่อร่างกาย?

“ใยอาหาร” กินเท่าไรถึงดีต่อร่างกาย?   กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า เราควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารราวๆ 25 กรัมสำหรับผู้หญิง 38 กรัมสำหรับผู้ชาย (อายุไม่เกิน 50 ปี) ส่วนผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ควรกินใยอาหาร 21-30 กรัม   เราจะทราบปริมาณของใยอาหารที่เรารับประทานได้ ด้วยการดูที่ตารางโภชนาการบนฉลากของผลอตภัณฑ์นั้นๆ โดยพยายามเลือกอาหารที่มีใยอาหารมากกว่าในกรณีที่มีผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน และขอให้สบายใจได้ว่าใยอาหาร ยิ่งรับประทานยิ่งดี ยกเว้นกรณีของผู้สูงอายุที่อาจไม่ควรรับประทานมากกว่าเกินไป วิธีเพิ่มใยอาหารในมื้ออาหารของแต่ละวัน         • เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารที่เต็มไปด้วยใยอาหาร เช่น ซีเรียลที่ใส่ผลไม้สด ใส่ผัก และถั่วลงในซุป หรือแกงที่กิน ใส่ถั่ว และธัญพืชต่างๆ ลงในโยเกิร์ต กินผักผลไม้แทนขนม หรืออาหารว่าง เช่น แคร์ร็อต บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก ฯลฯ เลือกกินผักผลไม้สด มากกว่าแปรรูป สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากนัก แนะนำว่าให้ค่อยๆ เพิ่มใยอาหารในมื้ออาหารทีละน้อยๆ อย่าโหมกินทีเดียวเยอะๆ อย่าลืมดื่มน้ำให้มากขึ้น และหากมีปัญหากับระบบขับถ่ายเป็นเวลานาน […]