” Work-Life Balance ” สำหรับชีวิต สร้างสุขภาพเเบบยั่งยืน

” Work-Life Balance ”  สำหรับชีวิต สร้างสุขภาพเเบบยั่งยืน

 

ทุกวันนี้การสร้างสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิตของเรานั้น แทบจะเป็นไปได้ไม่ได้เลยทีเดียว ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวเรานั้น ทำให้เราทำงานได้ตลอดเวลาเลยล่ะ จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นตรงกันว่า ความเครียดที่เกิดจากความไม่จบไม่สิ้นของการทำงานนั้นทำให้เกิดผลเสียได้ ไม่ว่าจะในเรื่องของความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สุขภาพ และความสุขโดยรวม เพราะฉะนั้นการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 

1. ปล่อยวางจากความสมบูรณ์แบบ

 

ชีวิตในวัยเด็กนั้นเราอาจถูกคาดคั้น ถูกจำกัดด้วยการเรียน เช่น เวลาเข้าเรียน เวลานอน เวลาทำงานอดิเรก หรือแม้แต่เด็กบางคนยังต้องทำงานหลังเลิกเรียนอีก กลายเป็นว่าเราต้องแบ่งสรรเวลาให้สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยความเป็นเด็ก ความรับผิดชอบก็ยังไม่สูงมาก ทำให้ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุม พอโตขึ้นชีวิตเราก็ซับซ้อนมากขึ้น ไหนจะความรับผิดชอบที่มากขึ้น ไหนจะการงานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมเวลาให้ได้อย่างสมบูรณ์ และถ้าการทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบนั้นติดเป็นนิสัยแล้ว มันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ ดังนั้นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากทำร้ายตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจคือการลองถอยออกมาจากความสมบูรณ์แบบนั้นซะ แล้วปล่อยวางบ้าง เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกครับ

 

2. ถอดปลั๊กออกบ้าง

 

จริงอยู่ที่เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้เราใช้ชีวิตและทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ว่ามันก็ทำให้เราติดอยู่กับงานได้ตลอดเวลา วันหยุดก็เหมือนจะไม่ใช่วันหยุดซะทีเดียว แถมการแจ้งเตือนบนมือถือตัวดีจะคอยขัดเวลาพักผ่อนของเราอีกทั้งยังจะนำความเครียดมาให้อีก จนเดี๋ยวนี้มีคำพูดที่ว่า “ปิดมือถือซะ และสนุกกับช่วงเวลานี้กัน” ดังนั้น ลองออกห่างจากเทคโนโลยีที่จะทำให้เราติดอยู่กับงานในเวลาพักผ่อนบ้าง แล้วมาสร้างช่วงเวลาดีๆกับครอบครัว เด็กๆ หรือเพื่อนฝูงกันเถอะนะครับ

 

 

3. ออกกำลังกายนั่งสมาธิ กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ!

 

แน่นอนครับว่าการออกกำลังกายนั่นเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการลดความตึงเครียดจากการทำงาน นอกจากจะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายยังทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนแห่งความสุข (endorphins) ขึ้นมามากมาย ช่วยให้อารมณ์ของเราดีขึ้น แถมการออกกำลังกายก็ช่วยให้เราเข้าสู่ภาวะที่มีสมาธิมากขึ้นด้วยนะครับ ไม่มีประกันสุขภาพที่ไหนดีเท่ากับการออกกำลังกายอีกแล้วล่ะ เห็นแบบนี้แล้วไม่แบ่งเวลาไปออกกำลังกายไม่ได้แล้วสิเนี่ย

 

4. แบ่งเวลาให้กับกิจกรรมและคนที่เรารัก

 

อันดับแรกเราต้องรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต เขียนรายชื่อและกิจกรรมนั้นออกมา แล้วก็สร้างขอบเขตขึ้นเพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่กับคนและกิจกรรมที่เรารักที่สุด และสิ่งไหนที่ไม่ได้สำคัญในชีวิตเราจริงๆ เราก็ควรปล่อยวางไปครับ ไว้มีเวลาว่างจากงาน จากสิ่งที่เรารักจริงๆ ค่อยไปทำ ฟังแล้วอาจดูเหมือนเห็นแก่ตัวนะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เห็นแก่ตัวเลยซักนิด มันก็เหมือนกับเหตุการณ์บนเครื่องบินนั่นแหละ ที่เราต้องใส่หน้ากากอ็อกซิเจนให้ตัวเองก่อนที่จะใส่ให้เด็กข้างๆ แล้วถ้ามันกลายมาเป็นเรื่องของครอบครัว เรื่องเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานล่ะก็ ยิ่งถ้าเราดูแลตัวเองได้ดีมากขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งทำให้เราดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ดีมากขึ้นเช่นกัน

 

5. เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของชีวิต

 

ลองหลับตาแล้วนึกถึงโครงสร้างของชีวิตเราดูสิครับ มีทั้งครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง บางคนไปทำความรู้จักกันบนรถไฟฟ้า บางคนสนิทกับป้าขายหมูปิ้ง ฯลฯ การจะสร้างและรักษาความสัมพันธ์ต่างๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่มั้ยครับ ไหนจะต้องมีกิจกรรมร่วมกัน พูดคุยปฏิสัมพันธ์กันมากมายไม่รู้จบ การจะทำทุกสิ่งทุกอย่างในคราวเดียวกันนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ และแทนที่เราจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ลองเปลี่ยนมาเป็นการทำเฉพาะกิจกรรมที่ส่งผลดีและพิเศษต่อชีวิตเราดีกว่าครับ แล้วจะเห็นว่าวิถีการทำงานกับวิถีการใช้ชีวิตนั้นสามารถทำควบคู่กันไปได้ง่ายมากขึ้นเลยทีเดียวครับ