5 วิธี กินอย่างไรให้ “หิว” น้อยที่สุด

5 วิธี กินอย่างไรให้ “หิว” น้อยที่สุด

 

  1. เช็กให้ดีว่า “หิว” หรือ “อยาก”

    หลายครั้งที่เราอาจสับสนระหว่าง “หิว” กับ “อยาก” เคยเกิดอาการอยากกินอาหารขึ้นมาเฉย ๆ เมื่อนั่งดูละคร แล้วมีฉากกินอาหารบ้างไหม ? ก่อนเดินไปคว้าอาหารเข้าปาก หรือกดสั่งอาหารผ่านมือถือ ลองนึกดูก่อนว่าอาหารล่าสุดที่เรากินคืออะไร และกินไปเมื่อไร และตอนนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว ถ้าเพิ่งกินเมื่อไม่กี่ชั่วโมง และเวลาก็ดึกมากแล้ว ควรข้ามมื้อย่อยนั่นไปก่อน

  2. เน้นโปรตีน และอาหารที่มีกากใยอาหารสูง

    ทราบหรือไม่ว่าโปรตีนเป็นอาหารที่กินแล้วอยู่ท้องมากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ เพราะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า ราว 4-6 ชั่วโมง ในขณะที่อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งและน้ำตาล จะย่อยเร็วกว่าราว 4 ชั่วโมง หรือเร็วกว่านี้ ดังนั้นหากอยากอิ่มไปนาน ๆ ไม่มาหิวกลางดึก อย่าลืมรับประทานโปรตีนให้มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ นม เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ รวมไปถึงอาหารที่มีกากใยอาหารสูงอย่าง ผักผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ ก็ช่วยให้อยู่ท้องได้นานเช่นเดียวกัน

  3. แบ่งเป็นมื้อย่อยๆ

    สำหรับใครที่อาจงานไม่ยุ่งพอที่จะกินข้าวได้ 3 มื้อต่อวันเท่านั้น แต่มีเวลาว่างในตอนบ่ายมากพอให้นั่งกินขนมเล่น เอะอะพักเบรคหาอะไรกินตลอด ๆ แนะนำให้แบ่งมื้ออาหารจาก 3 เป็น 4-6 มื้อแทน แต่การสับเป็นมื้อเล็ก ๆ กระจายกินไปทั้งวัน อาจช่วยลดความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นในช่วงบ่ายได้ แต่ระมัดระวังอย่ากินมากเกินกว่าปกติก็แล้วกัน

  4. ลดการบริโภคแป้ง และน้ำตาล

    อย่างที่บอกว่าอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาล หรือคาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่ใช้เวลาย่อยน้อยกว่าโปรตีน หากเรากินแต่ข้าว หรือขนม แล้วกินโปรตีน หรืออาหารที่มีกากใยอาหารไม่เพียงพอ เราก็เสี่ยงที่จะหิวเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้นควรแบ่งสัดส่วนในการกินอาหารไปที่โปรตีนมากกว่าคาร์โบไฮเดรต และหากเลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ก็จะช่วยให้ร่างกายใช้เวลาในการย่อยอาหารนานขึ้น อิ่มท้องนานขึ้น ดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลงด้วย

  5. อย่าทิ้งช่วงเวลามื้อสุดท้ายจนถึงก่อนนอนนานเกินไป

    พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่านอนดึกนั่นเอง เชื่อเถอะว่าคนที่นอนดึก ๆ ดื่น ๆ มีความเสี่ยงที่จะหิวไวกว่าคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำ นอกจากนี้การอดนอนบ่อย ๆ ยังอาจทำให้เราหิวง่ายกว่าคนที่นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม และเพียงพออีกด้วย

นอกจากวิธีการกินอาหารแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 3-5 ครั้งใน 1 สัปดาห์ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที และเพิ่มกิจกรรมระหว่างวันที่ช่วยให้ร่างกายได้ขยับร่างกายมากขึ้น ทั้งวิ่งขึ้นบันได เดินกลับบ้าน ฯลฯ คุณจะสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด