5 ข้อดี ฟังเพลงตอนออกกำลังกาย

5 ข้อดี ฟังเพลงตอนออกกำลังกาย

 

การ ฟังเพลงตอนออกกำลังกาย ที่นอกจากจะช่วยแก้เบื่อได้แล้ว ยังช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมายเลยทีเดียว

 

ข้อดีของการฟังเพลงตอนออกกำลังกาย

 

1. ช่วยให้คุณออกกำลังกายได้หนักขึ้น

 

หากออกกำลังกายแล้วรู้สึกเบื่อ หรือออกกำลังกายได้แป๊บเดียวก็เหนื่อย ให้คุณลองสร้างเพลย์ลิสต์เพลงสำหรับออกกำลังกายเอาไว้และเปิดฟังตอนออกกำลังกายครั้งต่อไปดู เพราะมีผลการวิจัยระบุว่า ผู้ที่ฟังเพลงตอนออกกำลังกายสามารถออกกำลังกายได้หนักขึ้น อีกทั้งการฟังเพลงยังช่วยให้สามารถออกกำลังกายซ้ำๆ หรือออกกำลังกายประเภทฝึกความอึดหรือฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้หนักและนานขึ้น โดยที่คุณรู้สึกเหนื่อยช้าลงด้วย

 

2. ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

 

งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า อาสาสมัครที่ฟังเพลงตอนออกกำลังกายมีระดับของเซโรโทนิน  (Serotonin) หรือสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ “ฮอร์โมนรู้สึกดี” สูงขึ้น จึงทำให้ออกกำลังกายแล้วรู้สึกอารมณ์ดี

 

3. ช่วยให้ร่างกายทำงานประสานกันมากขึ้น

 

เสียงเพลงไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวร่างกายเฉพาะตอนที่คุณเต้นเท่านั้น ไม่ว่าจะออกกำลังกายประเภทใด หากคุณฟังเพลงไปด้วย จะช่วยให้ร่างกายของคุณเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นจังหวะ และทำงานประสานกันได้ดีมากขึ้น จากการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การฟังเพลงตอนออกกำลังกายช่วยเพิ่มคลื่นไฟฟ้าในสมองส่วนที่ควบคุมให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างสัมพันธ์กัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเสียงเพลงถึงช่วยให้คุณทำท่าในคลาสแอโรบิก หรือ HIIT ตามผู้ฝึกสอนได้ง่ายขึ้น

 

4. ฟังเพลงตอนออกกำลังกาย… เวิร์กเอาท์ได้สนุกกว่า

 

หากใครเคยเข้าคลาสออกกำลังกายที่มีเพลงประกอบเร้าใจ เช่น คลาสปั่นจักรยาน ก็คงจะทราบดีว่า การฟังเพลงสามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคุณจากการออกกำลังกายสุดโหด ช่วยให้คุณออกกำลังกายได้ง่ายขึ้น และสนุกขึ้นแค่ไหน จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีอาสาสมัครเข้าร่วมจำนวน 34 คนพบว่า การฟังเพลงตอนออกกำลังกายช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสนุกสนานกว่าการดูคลิปแบบไม่ฟังเสียงเสียอีก

 

5. ช่วยลดโอกาสบาดเจ็บ

 

งานศึกษาวิจัยในอาสาสมัครที่ไม่ได้เป็นนักวิ่งอาชีพจำนวน 26 คนพบว่า การฟังเพลงที่มีจังหวะในช่วง 130-200 ครั้งต่อนาที (BPM) จะทำให้นักวิ่งเร่งและชะลอฝีเท้าไปตามจังหวะเพลง แต่หากเลือกเพลงที่มีจังหวะเร็วขึ้นเป็นช่วง 160-180 ครั้งต่อนาที (BPM) การวิ่งแต่ละก้าวจะสั้นลง จึงช่วยลดแรงกด และแรงกระแทก รวมไปถึงช่วยลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย